วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

58: เก็บตก..ปฏิบัติธรรมข้ามปี 54-55

ภาพคืน 31 (หน้า 330 เป็นต้นไป) หลังทำวัตรเย็น สวดพระพุทธมนต์ ฟังธรรม นั่งภาวนา ข้ามคืน(ทางโลก) และสวดพระชัยมงคลคาถา (พาหุง มหากาฯ) ต้อนรับปีใหม่ บันทึกภาพได้ไม่หมดทุกคน เพราะต่างหนีหนาวเข้าเต๊นท์กันไปกันหมด หึหึ
ภาพนนี้ฝากให้เพื่อน นรธ. ที่ร่วมเดินรับของบิณฑบาตกับพ่อแม่ครูอาจารย์เมื่อเช้าวันนี้ครับ หึหึ (คุณศรุตรับตรงๆเด๊อ!)
หนาวอย่างเดียวไม่พอ...ลมแฮงหลาย

อานิสงส์ผลบุญจากการทำบุญที่ภูดานไห

เรียนทุกท่าน
ผมมีสิ่งที่รับรู้ภายในบางอย่างเป็นปัจจัตตังที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบก็คือ ในเช้าวันที่ 1 มกราคม 2555 ในขณะที่ญาติธรรมร่วมกันถวายจตุปัจจัยและเงินร่วมทำบุญสร้างบ่อน้ำบาดาล พระพุทธรูปไม้กฤษณา และค่าใช้จ่ายต่างๆ แด่พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช อยู่นั้น ผมเองเป็นผู้ถือพานปัจจัยที่ทุกท่านร่วมทำบุญมา ขณะที่กล่าวคำถวายอยู่นั้น ปรากฏว่ามีคลื่นพลังบุญแผ่มาที่พานที่ผมถืออยู่ จิตผมรับทราบทันทีว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญของพวกเราในครั้งนี้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว และเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่มาก อีกทั้งพระเมตตาของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่แผ่มานั้น ย่อมส่งไปถึงผู้ที่ร่วมทำบุญในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย บุญที่ได้กระทำแล้วกับพระอริยเจ้าผู้ที่อยู่เหนือโลก ย่อมได้รับผลมากมายกว่าการทำบุญกับผู้ที่ทุศีลจนมิสามารถประมาณได้ ผมจึงขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
2 มกราคม 2555

ภูเบศวร์

วาระแห่งการร่วมกันปฏิบัติธรรมที่ภูดานไหข้ามปี เป็นนิมิตหมายแห่งการเริ่มต้นสิ่งดีดีในชีวิตนับแต่ปีใหม่นี้ ดังข้อความที่พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาเขียนไว้ให้ สวัสดี ดีใหม่



แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าสำหรับช่วงเวลาแห่งชีวิตหนึ่ง ของคนคนหนึ่ง คุ้มค่าต่อการสละความสุขทางโลกในช่วงเทศกาลที่หลายคนสนุกสนานเฮฮากัน

คุ้มค่าต่อการบากบั่นเดินทางไกลครึ่งค่อนวัน



เพราะ..ได้รับรู้และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นสัจจธรรมมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดความลด ละ ปล่อยวาง ภายในจิตได้หลายสิ่งหลายอย่าง ด้วยความเมตตาสั่งสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์(พ.สุรเตโช) ผู้ที่นำแสงสว่างแห่งปัญญามาสู่ผู้ศึกษาปฏิบัติ ท่านเป็นผู้นำทาง และชี้นำให้ไปสู่วิถีทางที่ถูกต้อง อันเป็นวิถีแห่งความรู้แจ้งและพ้นทุกข์ อีกทั้งยังเป็นเนื้อนาบุญที่ให้พวกเราได้มีโอกาสเพาะปลูกบุญกุศลที่มีอานิสงค์ที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ เป็นฤดูกาล หรือโอกาสให้เราได้สร้าง ได้ทำ สิ่งจำเป็นต่างๆอันเป็นถาวรวัตถุ ที่ภูดานไหแห่งนี้

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ไปศึกษาปฏิบัติ อันเป็นสิ่งที่นรธ.และผู้มีใจอันเป็นบุญจะร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้



สภาวะธรรมวันข้ามปี 2554-2555 ณ ภูดานไห

ท่านทั้งหลาย
วันปีเก่าหรือวันปีใหม่ เป็นสมมุตินามที่พวกเราเรียกกันในทางโลก แต่ในทางธรรมนั้น วันไหนๆก็ไม่สำคัญเท่ากับการพิจารณาในปัจจุบันกาลว่า เราพิจารณาเห็นสภาวะความจริงของสรรพสิ่งแล้วหรือยัง วันปีเก่าและวันปีใหม่จึงเป็นวันที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปเห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่เป็นความสำคัญในทางสนุกสนาน รื่นเริงบันเทิงใจมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงนำไปสู่การผิดศีลโดยเฉพาะข้อสุราเมรัยฯนั้นมากที่สุด ผู้เป็นสามัญชนสูงขึ้นมาหน่อยจะให้ความสำคัญกับการอวยพรแด่ผู้ที่สมควรแก่การอวยชัย เพื่อแสดงความนอบน้อมต่อกันและกันก็นับเป็นกุศลดี ผู้ปฏิบัติธรรมและอริยบุคคลจะให้ความสำคัญกับการภาวนาเพื่อแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์และโลกทิพย์ เพื่อสร้างเสริมบุญบารมีให้เกิดความเป็นมงคลแก่ชีวิตมากกว่าความสนุกสนานใดๆ

ท่านทั้งหลาย ในคืนวันปีเก่า 31 ธันวาคม 2554 ข้ามสู่วันปีใหม่ 1 มกราคม 2555 นั้น ได้มีผู้แสวงธรรมที่มีความเห็นชอบจำนวนหนึ่งประมาณ 73 คน ได้มารวมตัวกัน ณ ภูดานไห ต.กุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อร่วมกันปฏิบัติธรรมด้วยการฟังธรรมและภาวนาสมาธิ กับพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชเจ้า ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บและลมแรงอย่างที่สุด แต่ทุกคนก็สามารถนั่งฟังธรรมและภาวนาสมาธิ ด้วยความตั้งใจมั่นอย่างน่าสรรเสริญยิ่ง

เมื่อถึงเวลา พ่อแม่ครูอาจารย์ได้พาทุกคนสวดมนต์แข่งกับเสียงลม หลังจากนั้นท่านให้ภาวนาสมาธินานเกือบสองชั่วโมง หลังจากออกจากสมาธิแล้ว ท่านได้แสดงธรรมโดยมีข้อสำคัญหลายประการ หนึ่งในนั้นคือ "โยมเห็นไหม ที่กุดหว้าหรือที่อื่นๆ เขาฉลองปีใหม่กันด้วยความสนุกสนาน กินเหล้าเมายา จนขาดสติ มีความประมาท และผิดศีล แล้วจะมีความเป็นมงคลในวันปีใหม่ได้อย่างไร" (ผมแต่งเติมคำ) ขณะที่ท่านแสดงธรรมทุกคนจะมองเห็นพลุสว่างไสวและเสียงดนตรีดังมาจากกุดหว้าเป็นระยะๆ เมื่อถึงเวลาวันเริ่มปีใหม่ พ่อแม่ครูอาจารย์ได้พาสวดมนต์บทพาหุง และฟังธรรมต่อจนถึงเวลาเกือบตีหนึ่ง จึงได้แยกย้ายกันกลับที่พัก(เต๊นท์) และกลับมาภาวนาต่อที่ลานธรรมกลางแจ้งอีกทีตอนตีห้าจนถึงรุ่งสว่าง

ตลอดเวลาในการภาวนาสมาธิหรือในขณะที่สวดมนต์และฟังธรรมนั้น ทุกคนได้เผชิญกับสภาวะความจริง ซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อยู่ตลอดเวลา ทั้งสภาวะอากาศที่หนาวเหน็บ(น่าจะต่ำกว่าสิบองศา) พร้อมกับกระแสลมแรงตลอดเวลา อาการเวทนาก็ย่อมเกิดขึ้นกับทุกคนเป็นที่สุดแห่งชีวิตก็ว่าได้ ผมเองได้ฉวยโอกาสทองจากวิกฤตนี้พลิกให้เป็นโอกาสในการพิจารณาความทุกขเวทนา อายตนะ รูป-นาม กาย จิต การตั้งมั่นในสมาธิ และการพิจารณาให้เห็นสภาวะความจริงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย ณ ขณะนั้น คือการพิจารณาให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสรรพสิ่งซึ่งล้วนเป็นอยู่อย่างนั้น รูปนามมันก็ทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น กายและจิตมันก็ต่างทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น ลมและอากาศหนาวเย็นมันก็ทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น ดวงดาวมันก็ทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น ทุกสรรพสิ่งมันก็ล้วนทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตาที่มิสามารถควบคุมมันได้ มันอยากจะเกิดก็เกิด มันอยากจะดับก็ดับ เป็นอยู่อย่างนั้น

เมื่อคราใด ที่ลมมาปะทะกับกายเกิดอายตนะขึ้น จิตผมก็โน้มไปพิจารณาธาตุลมในกายและนอกกาย เมื่อคราใดความหนาวมาปะทะร่างกายผมก็โน้มพิจารณาธาตุไฟทั้งภายในและภายนอกกาย เมื่อคราใดที่รู้สึกได้ว่ากายนั่งอยู่บนพื้นหินและดิน จิตก็โน้มไปพิจาณาธาตุดินทั้งภายในและภายนอกกาย เมื่อคราใดน้ำมูกน้ำตามันไหลออกมา ก็โน้มไปพิจารณาธาตุน้ำทั้งภายในและภายนอกกาย ธาตุทั้งสี่ก็เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุสี่ของโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใดเลยเป็นของเรา สลับกับการพิจารณาสภาวะของกายของจิต และสภาวะภายนอกภายในสลับกันอยู่อย่างนั้น ท่านทั้งหลาย เมื่อพิจารณาและมีสติตามรู้อยู่ทุกขณะ จิตก็ละวางในสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายลงได้ แม้จะไม่สามารถตัดกิเลสได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ทำให้อาการเวทนานั้นหายไป แม้มันจะยังคงอยู่แต่เราก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนไปกับมัน อาการทรงนิ่งอยู่ของกายสังขารก็ได้รับการพัฒนาไปด้วย

หลังจากนั้น ผมได้กลับไปยังที่พักและได้นั่งภาวนาต่อในกุฏิไม้หลังเล็กๆที่อยู่ริมหน้าผา ซึ่งไม่มีเต๊นท์แต่มีมุ้งกลดพอกันแมลงและยุงได้ ขณะนั้นอากาศหนาวเย็นและลมแรงพัดเสียงใบไม้และกิ่งไม้ดังวี่วิงเสียดแทงอยู่ตลอดเวลา ผมเองได้ฝึกพิจารณาเสียง(อายตนะ) พิจารณาเสียงพื้นฐานหลักตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์สอนว่า นักภาวนาเขาจะพิจารณาไม่เฉพาะเสียงพื้นฐานหลักเท่านั้น ดังที่ท่านยกตัวอย่างว่า เวลาที่เรานั่งภาวนาที่น้ำตก เราจะได้ยินเสียงพื้นฐานหลักคือเสียงน้ำตก แต่นักภาวนาจะต้องกำหนดจิตให้ได้ยินทั้งเสียงสอดแทรกต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนั้นไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงนกเสียงสัตว์ เสียงลม หรือเสียงในโลกทิพย์ เป็นต้น ผมเองได้นั่งภาวนาและพิจารณาตามนั้นอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงประมาณตีสองจึงล้มตัวลงนอนภาวนาจนหลับไป รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีตอนตีสื่จึงลุกขึ้นมาภาวนาต่อจนถึงตีห้า หลังจากนั้นลุกขึ้นไปนั่งภาวนาที่ลานธรรมกลางแจ้งราวตีห้าครึ่ง ซึ่งที่ลานธรรมนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ได้นั่งภาวนาอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับนักรบธรรมจำนวนหนึ่ง อากาศในช่วงนี้หนาวเหน็บกว่าตอนเที่ยงคืนมาก ในช่วงเช้านี้ ผมกลับมีกำลังและพลังในการภาวนาได้ดี ต่อสู้กับเวทนาได้ดียิ่งขึ้น หลังจากนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์ได้แสดงธรรมต่อจนเกือบเจ็ดโมงเช้า เพื่อเตรียมลงไปบิณฑบาตต่อที่กุดหว้า

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผมนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิหลังเล็กนี้ ผมได้เกิดสภาวะอย่างหนึ่งคือ ความกลัวเล็กน้อยปะปนกับความอยากรู้ในสิ่งเหนือโลก กล่าวคือ ผมมีสัญญาจำได้ว่า ณ บริเวณกุฏินี้ คุณตาประเสริฐท่านได้มานั่งภาวนาประจำและบอกว่าภูมิที่นี่ดีมาก พรหมเทวดาก็มาก บางทีจะมีเสียงเดินมาหาอยู่ประจำ ซึ่งคืนก่อนนั้น(30 ธันวาคม) ผมกับคุณสมบัติได้ยินเสียงเดินหลายครั้ง โดยเฉพาะท่านสมบัติได้ยินเสียงคนเดินมาหาทางหน้าผาถึงสามครั้ง(คนจริงๆเดินไม่ได้เพราะเป็นหน้าผา) และมักจะมาปลุกให้ลุกขึ้นมาภาวนาเป็นประจำ ผมเองก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาภาวนาเอาตอนตีสี่ตรงพอดี(คืน 30 ธันวาคม)อย่างกับตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณนั้น อาการดังกล่าวทำให้ผมพะวงอยู่บ้าง จนบางครั้งทำให้ลืมตาขึ้นมามองออกไปนอกกุฏิว่ามีอะไรมาหรือไม่ ผมได้นั่งภาวนาหันหน้าออกไปข้างนอกตรงประตูเข้า เพราะไม่มีประตู เพื่อต่อสู้กับความหวาดกลัว (เป็นครั้งแรกที่นั่งภาวนาในสถานที่วิเวก) แม้ผมจะฝึกความไม่หวาดกลัวมาบ้างแล้ว แต่นักภาวนาที่ปลีกวิเวกใหม่ๆ ย่อมได้รับความกดดันเช่นนี้อย่างแน่นอน ผมเองได้ผ่านจุดนี้มาได้ ก็คงจะต้องมีสิ่งที่หนักหน่วงกว่านี้มาให้พิจารณาเป็นลำดับๆต่อไป

ท่านทั้งหลาย ผมเชื่อว่าหลายๆคนได้พิจารณาธรรมเช่นเดียวกันกับผม เพราะพวกเราได้รับการสั่งสอนมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์เหมือนกัน แต่อาจแตกต่างในรายละเอียดอยู่บ้างตามจริตและบุญบารมีเก่าของแต่ละบุคคล รายละเอียดในบางส่วนผมมิสามารถบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรหรือคำพูดได้ และบางส่วนผมได้แต่งเติมข้อความขึ้นมา เพื่อสื่อความหมายให้ได้มากที่สุด ดังนั้น ประโยชน์ใดๆที่บังเกิดขึ้นแก่ท่านผู้อ่าน ผมขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และน้อมถวายแด่พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ทุกประการครับ

ขออนุโมทนา
ดร.นนต์
3 มกราคม 2555
หนาวไม่หนาว ให้ดูอาการของท่านพิเชฐและครูร่วมชาติว่ามีอาการเช่นไร ฤาษีเก่าที่แก่กสิณไฟก็ยังหนาวสั่นเช่นนี้ ปีหน้าขอให้ไปพิสูจน์กันอีกครั้งนะครับ
ผมทราบว่า ท่านภูเบศร์ก็ได้พิจารณาสภาวะของเสียงพื้นฐานหลัก แต่เสียงลมที่หนักหน่วงนั้น มิทราบว่าท่านภูเบศร์ได้ยินเสียงแปลกปลอมอื่นบ้างไหมหนอ โปรดเฉลยด้วยนะครับ ส่วนท่านศรุต ผมทราบว่า ท่านได้เผชิญกับสิ่งที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตของการปฏิบัติธรรมทีเดียว ครั้งต่อไปท่านจะสามารถทนสภาพได้อย่างสบายครับ ศิษย์พระตถาคตและ พ.สุรเตโช ย่อมไม่กลัวต่อความยากลำบาก เพราะเคยลำบากมามากมายหลายภพแล้ว จะลำบากอีกสักภพจะเป็นไรไป จึงขออนุโมทนาด้วยนะครับ 


ส่วนผมได้เผชิญกับสภาวะของธาตุทั้งสี่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกคือ เผชิญกับแสงสุริยเทพที่แผ่รังสีมาให้นักรบธรรมได้รับรู้สภาวะแห่งธาตุไฟเมื่อครั้งปีนภูผาผึ้ง และคืนต่อมาก็ได้เผชิญกับพายุฝนพัดกระหน่ำจนต้องนอนและนั่งภาวนาบนน้ำไหลหลากอย่างทุลักทุเล ซึ่งเป็นการเผชิญกับธาตุน้ำทันที ต่อมาจึงได้เผชิญกับสภาวะของลมและความเหน็บหนาวในวันปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเผชิญกับสภาวะของธาตุลมอย่างอุกฤษณ์ ต่อมาได้เผชิญกับสภาวะของธาตุดินในขณะเดินบิณฑบาตกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งเป็นการเผชิญกับทุกขเวทนาขณะที่เท้าสัมผัสกับพื้นดิน หิน กรวดทราย อย่างที่สุด เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธาตุทั้งสี่ เวียนวนอยู่เช่นนี้ พิจารณาเข้า สักวันหนึ่งเราจะสามารถทิ้งกายสังขารคืนสู่ธาตุทั้งสี่ไว้ให้กับโลกอย่างไม่แยแส เพราะจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว หากมีบุญวาสนาเมื่อถึงเวลาคงเป็นเช่นนั้นได้กระมัง



ขอเจริญในธรรม

ดร.นนต์

3 มกราคม 2555

chantasakuldecha:
สวัสดีปีใหม่ 2ห้าห้าห้า 
นับเป็นบุญของข้าน้อยจริงๆที่ได้ไปปฎิบัติที่ภูดานไหครับ สภาพอากาศนั้นสุดที่จะคาดดาดได้จริงๆ ตอนเช้าอากาศกำลังดี 22-24องศา พอตกบ่ายแดดออกเท่านั้นล่ะครับ ถอดเสื้อกันหนาวกันแทบไม่ทันเลย พอมาถึงคืนที่ต้องปฎบัติธรรม อุณหภูมิตกลงอย่างชนิดที่เรียกว่า สั่นเป็นจ้าวเข้าเลยครับ(นึกว่าของขึ้น) โชคของผมยังดีที่มีครูชาติและภรรยาที่ดูแลเป็นอย่างดี หาผ้าห่มมาให้ 2ผืนถ้าเห็นในรูป ต้องขอขอบพระคุณครูชาติและภรรยาเป็นอย่างสูงครับ ผมยอมรับนะครับว่าการปฎิบัติในครั้งนี้ผมยังไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ครั้งหน้าขอแก้ตัวครับ
ในตอนเช้าของวันที่ 1มกราคม2555 นั้นสิ่งที่ผมสามารถรับรู้และยืนยันได้ตอนที่เดินตามบิณฑบาตร พ่อแม่ครูอาจารย์(พมคจ)นั้น หลังจากที่ลงจากรถเพื่อที่พมคจจะรับบาตรแรก นั้นผมกลั้นน้ำตาแห่งความปีติไม่อยู่ เสมือนอย่างที่ ท่านดร.นนต์ได้กล่าวใว้ว่า "ความปีตินั้น มันเหมือนทำนบแตก กั้นอย่างไรก็ไม่อยู่" นั้นล่ะถึงแล้วจะรู้เอง เป็นสัจธรรมนั้นแล ผมยังสงสัยอยู่เลยว่า คำทำนายของดช.ปลาบู่นั้น ใครเป็นคนตีความ หนอ 

ขอให้นรธจงประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม ปราศจากอุปสรรคและภยันตรายใดๆทั้งปวง เทอญฯ

สาวกธรรม1
สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 1/1/55 ได้ฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ให้ข้อคิด (การปล่อยวาง)

เริ่มที่เหล่านักรบธรรมได้นำเอาสร้อยและพระไปให้พ่อแม่ครูอาจารย์ พิจารณาให้ ท่านได้ยกสร้อยขึ้นทั้งหมดและบอกว่า

พ่อแม่ครูอาจารย์ : นี่คือะไร(ท่านยกสร้อยขึ้นมาทั้งหมด)

นักรบธรรม : ถือครับ

พ่อแม่ครูอาจารย์ : โยมคิดว่าอาตมาหนักไหม

นักรบธรรม : หนักครับ

พ่อแม่ครูอาจารย์ : วางสร้อยลง แล้วบอกว่าแล้วยังงี้หละ
นักรบธรรม : ไม่หนักครับ
พ่อแม่ครูอาจารย์ : นี่แหละถ้าเรายึดมั่นถือมั่นมันก็หนักถ้าเราปล่อยวางแล้วเราก็สบาย
นี่ถือว่าเป็นข้อคิดที่เอาไว้เตือนสติใด้ดีมากจากคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ข้าพเจ้าขอน้อมคำสั่งสอนนี้ไปปฎิบัติสืบต่อไป


สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 31/12/54 ได้ฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ให้ข้อคิดช่วงของการจุดพลุฉลองที่ด้านล่าง ว่าพลุที่เขจุดกันมีแสงสวยงามมาก แล้วก็ดับไป ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่า (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)

นี่ถือว่าเป็นข้อคิดที่เอาไว้เตือนสติใด้ดีมากจากคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ข้าพเจ้าขอน้อมคำสั่งสอนนี้ไปปฎิบัติสืบต่อไป

พระรูปนี้ไม่มีดีให้อวด จึงไม่อวดดี


ทุกอย่างมีความหมายอยู่ในตัว ความดีหรือคุณธรรมทั้งหลาย ยิ่งปิดยิ่งแผ่กระจาย เพราะกระแสแห่งคลื่นบุญบารมีนั้นย่อมปิดกลั้นไม่อยู่ แต่ผู้ที่ไม่มีดีอยู่ในตัวแม้จะโพนทนาให้ตายว่าตัวเองมีดี ก็ย่อมไม่ได้รับการตอบรับ หรือหากตอบรับก็เป็นเพียงกระแสที่ดับวูบ เพราะของจริงก็คือของจริง ของปลอมก็คือของปลอม มิมีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปได้ นี้คือ สัจธรรม (สัทธรรม) ของสรรพสิ่ง



ขอเจริญในธรรม

ดร.นนต์

4 มกราคม 2555


ธรรมะจากพระเครื่องและวัตถุมงคล

พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ท่านใช้โอกาสในการที่เหล่านักรบธรรม ได้ยื่นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำและพระเครื่องและสิ่งมงคลทั้งหลาย ให้พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาอธิษฐานจิตให้ เมื่อนักรบธรรมนำมารวมกันที่พานและยื่นถวายท่าน ท่านพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ท่านได้มีสีหน้าขึงขังพร้อมกับยกพานขึ้นและกล่าวขึ้นมาว่า "โยมเห็นไหม นี่อะไร โยมว่าอาตมาหนักไหม" พร้อมกับวางลงแล้วกล่าวต่อไปว่า "แล้วตอนนี้โยมว่าอาตมาหนักไหม" พวกเราทราบได้ทันทีว่า ท่านกำลังจะแสดงธรรม ทุกคนจึงสงบนิ่งด้วยอำนาจธรรมของท่าน ท่านกล่าวต่อไปว่า 

"สิ่งมงคลทั้งหลายเป็นสิ่งกลางๆ ที่สร้างขึ้นมาด้วยฤทธิ์หรืออภิญญาของใครก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง และจะเสื่อมสลายไปในที่สุด พระอริยเจ้าบางองค์สามารถอธิษฐานจิตให้มีพลังอิทธิคุณคงอยู่ได้นับร้อยปีหรือพันปี บางองค์อาจเสื่อมเร็วกว่านั้น วัตถุมงคลทั้งหลายเป็นของกลางๆ หากผู้ที่นำไปใช้เป็นฝ่ายมิจฉาทิฏฐิวัตถุเหล่านั้นก็จะกลายเป็นโทษทันที หากผู้ที่นำไปใช้เป็นฝ่ายสัมมาทิฏฐิวัตถุเหล่านั้นย่อมจะให้คุณทันทีเช่นกัน อาตมาไม่ได้ห้ามไม่ให้แขวนวัตถุมงคล แต่เราไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา หากเราแบกหรือถือไว้มันก็หนัก หากเราวางไว้มันก็เบา การแขวนพระให้เราระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างคุณงามความดีจึงจะถูกต้อง ขอให้โยมนำไปพิจารณาเด้อ" (ผมแต่งเติมคำบ้าง อาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ผมจึงต้องขอขมาต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ หากมีข้อความผิดเพี้ยนไป)

ท่านทั้งหลาย สิ่งที่ยืนยันในคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ มีวัตถุมงคลบางชิ้น แม้จะเป็นสิ่งมงคลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยผู้ที่มีคุณธรรมสูง แต่พอวัตถุเหล่านั้นตกไปอยู่ในความครอบครองของผู้ไม่ดีเป็นฝ่ายมิจฉาทิษฐิและมีอำนาจพลังจิต ได้กระทำมิดีมิร้ายด้วยการกักขังดวงวิญญาณร้ายไว้ในวัตถุมงคลเหล่านั้น เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่นักรบธรรมได้น้อมถวายวัตถุมงคลบางอย่างแด่ท่าน เพื่อจะมอบให้กับเหล่านักรบธรรมที่กำลังอยู่ในนั้น ซึ่งพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็ได้ช่วยวิญญาณร้ายที่อยู่ในนั้นทันที ดังนั้น หากสิ่งใดที่แปลกและเราไม่แน่ใจ ก็มิสมควรที่จะอัญเชิญวัตถุชิ้นนั้นกลับบ้านไปด้วย ยกเว้นท่านสามารถที่จะช่วยสงเคราะห์หรือโปรดวิญญาณเหล่านั้นได้ ส่วนผมได้โปรดพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว(มีสื่อสัมผัสได้ตลอดเวลา) ก็ขอให้พวกเราจงใช้วิจารณาณเอาเองนะครับ

อนึ่ง คุณแม่ชมกระซิบเสียงดังๆ(เหย้าหยอก)กับเหล่านักรบธรรมว่า ก็พวกเราล้วนเคยสร้างพระและวัตถุมงคลร่วมกันมาในอดีต จริตเดิมก็เลยละวางไม่ได้ เป็นของเดิม ของเก่า เป็นบุญบารมีเก่า (ประมาณนั้น) 

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
4 มกราคม 2555

ครูชาติ:


ขออนุโมทนาสาธุกับคุณศรุตด้วย เพราะคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ท่านได้เจอสภาวะธรรมของจริงคือหนาวสุดๆ ทำเอาชีวิตแทบไม่รอดแต่ก็สามารถผ่านไปได้ หวังว่าพวกเราคงมีโอกาสได้ต้อนรับคุณศรุตอีกครั้งนะครับ การต้อนรับครั้งนี้พวกเราก็มีอะไรขาดตกบกพร่องอยู่หลายอย่าง ผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย

ส่วนเรื่องคำทำนายของ ดช.ปลาบู่ นั้น การนำสิ่งที่เกิดมาแล้วมาพูดย่อมถูก หากพูดเรื่องอนาคตแล้วมันเป็นดาบสองคม หากเป็นความจริงก็ดีไป หากไม่เป็นความจริงหลายๆ จะตามมา... ขอให้พวกเราชาวพุทธใช้สติปัญญาพิจารณาหาเหตุผลให้มาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินจงใช้สติปัญญาพิจารณาให้ท่องแท้...และให้เชื่อกรรมมากกว่าเชื่ออย่างอื่น....ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป....

ภูเบศวร์:


ในค่ำคืนที่เหมือนกับฟ้าถล่ม กระแสลมที่รุนแรงเหมือนจะกระชากกิ่งไม้บริเวณนั้นให้ขาดสะบั้นหลุดเสียจากต้น อีกทั้งก่อนหน้าได้ทราบเรื่องราวจากท่านสมบัติว่ายามดึกจะมีเสียงเหมือนคนเดินไปมา และดร.นนท์ว่าประมาณตี4จะปรากฏมีเหตุการณ์ดังกล่าว 

ผมจึงได้เตรียมใจ โดยก่อนนอนประมาณตี2 นั่งสงบใจตั้งจิตขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถานที่นั้น ขอให้ท่านโปรดสงเคราะห์ในการปฏิบัติบำเพ็ญและขอพำนักพักพิงยังสถานที่แห่งนี้ หลังจากนั้นจึงนอนภาวนาจนหลับไปและมาตื่นอีกทีประมาณตี3กว่าๆด้วยเสียงลมกรรโชก และกิ่งไม้ใบไม้ที่กวัดแกว่งฟาดฟัดอย่างรุนแรง

ผมนอนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิดอยู่ว่าจะกลัวดีไหมนี่ ภายนอกเต้นท์นั้นธรรมชาติเหมือนกำลังคำรามอยู่ แต่ภายในเต้นท์รู้สึกถึงความปลอดภัย ใจไม่ปรุงแต่งหรือจินตนาการสิ่งที่อยู่ภายนอกเต้นท์ และมองปรากฏการณ์ที่เกิดภายนอกเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติแม้จะแปรปรวนและรุนแรง ทุกเสียงตอนนั้นเลยมองเป็นเสียงพื้นฐานหมด

จากคำขู่ของท่านสมบัติและดร.นนท์ เลยนั่งสมาธิ จนจิตสงบ ตัวผู้รู้สัมผัสรับรู้สภาวะภายในที่สงบ แบบสภาวะพรหมที่เคยสัมผัสมาก่อนหน้าที่ดอยหลวงเชียงดาว เป็นสัมผัสรับรู้แบบเดียวกัน เป็นภพภูมิของพรหมอย่างที่คุณตาเสริฐบอกไว้จริงๆ ในเวลานั้นจึงไม่รับรู้เสียงนอกเหนืออื่นใดอีกเลยครับ เมื่อจิตถอนออกจึงล้มตัวลงนอนจนมาตื่นเอาตอนตี5กว่าๆ

ก็เป็นประสพการณ์แลกเปลี่ยนเล่าสู่กันฟังนะครับ สำหรับค่ำคืนที่เสมือนการสอบของนรธ.

ผมเองมองภาพตามท่านภูเบศร์ที่ได้อธิบายถึงสภาวะของพรหมได้เป็นอย่างดี เพราะผมเองเคยเข้าสู่สภาวะของฌานสี่(จตุตฌาน)มาแล้วครั้งหนึ่ง กล่าวคือ ขณะที่ผมลองภาวนาแบบหายใจเข้าออกเสียงดังมากๆและเร็วอยู่ประมาณสิบนาทีจนตัวชา แล้วทิ้งเสียงลมหายใจแบบนั้นลงเสีย ปรากฏว่าไม่กี่วินาที จิตมันรวมสงบรวดเดียวสู่ฌานสี่แบบเร็วมากๆ จนตกใจเพราะอยู่ๆ ลมหายใจมันหายไปสิ้น ไม่รับรู้สิ่งใดๆ ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้สัมผัสอายตนะใดๆ ไม่มีคิดถึงสิ่งใดๆเลย มีแต่ความว่างเปล่าสีขาวสว่างไสว สงบนิ่งเฉย และเบาสบายอยู่อย่างนั้น แต่จิตมันรับรู้อยู่อย่างเดียวว่า ตายหละลมหายใจมันหาย ด้วยความตกใจ(เป็นครั้งแรกเร็วมากๆ) จึงต้องควานหาลมหายใจของตัวเองอยู่นานหลายนาที แล้วลมหายใจค่อยๆปรากฏขึ้นทีละนิดๆ จนเข้าสู่สภาวะปรกติโดยใช้เวลาหลายนาทีทีเดียว ผมมาเข้าใจในภายหลังว่า อ๋อเขาเรียกว่า ฌานสี่ บางครั้งมีผู้รู้มาบอกผมว่า ผมชอบใช้อรูปฌานอยู่ ความหมายนี้ผมยังไม่เข้าใจสภาวะของอรูปฌาน แต่บางครั้งจิตมันไปเร็วกว่าที่จะคิดว่ามันมีรูปแบบเช่นไร นี่แหละคือสภาวะของพรหม หากผู้ใดติดอยู่ในสภาวะเช่นนี้ หากตายไปในขณะนี้ก็ต้องไปเกิดเป็นพรหม จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ แต่ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่า ผมจะไม่เอาสภาวะนี้ครับ

ขอเจริญในธรรม

ดร.นนต์

5 มกราคม 2555

ภูเบศวร์:
การนั่งสมาธิหากไม่ประกอบไปด้วยสติ จิตก็มีโอกาสเข้าสู่ภวังค์ไม่รับรู้สิ่งภายนอกนิ่งเป็นฌานอยู่อย่างนั้น แล้วแต่ว่าจะลึกลงไปแค่ไหนแบบฤษี ไม่รับรู้ จิตจะไม่เกิดปัญญาใดๆ(มิจฉาสมาธิ) จนกว่าจิตจะถอนกลับมามีสติกำกับอีกครั้ง และใช้สภาวะความสงบอันประกอบด้วยสติ(สัมมาสมาธิ)พิจารณาธรรมในสภาวะปัจจุบันนั้น หรือหยิบยกข้อธรรมมาพิจารณา ให้เห็นถึงความเป็นจริง(ไตรลักษณ์) ก็จะบังเกิดปัญญาเป็นผลให้จิตรับรู้ความจริง และยอมรับความเป็นจริงอันนั้น ด้วยพิจารณาอยู่บ่อยๆ เพื่อให้จิตคลายจากความยึดถือที่เป็นความเห็นผิดด้วยความไม่รู้(อวิชชา)
ในคืนนั้นผมนั่งสมาธิด้วยอาการปนง่วง จิตยังไม่ตื่นเท่าไร แต่เราตื่นเพราะเสียง นั่งด้วยความอ่อนเพลียและคำขู่ (๕๕) จึงเผลอสติตกสู่ภวังค์ ดีที่ไม่มีกิ่งไม้หักลงมาทับตายตอนนั้น หรือลมพัดเต้นท์ตกหน้าผาไป ไม่งั้นยาวเลย..
นอกจากสภาวะภายในแล้ว เมื่อจิตถอนออกมา ก็รับรู้สภาวะความสงบภายนอกอันละเอียด(ของสถานที่บริเวณนั้น)ที่ผมเรียกว่าเป็นสภาวะพรหมนั้น เป็นสัมผัสรับรู้ทางใจที่ผมเทียบเคียงกับสัมผัสรับรู้ที่ดอยหลวงเชียงดาว(ขณะกำลังเดินอยู่บริเวณนั้น) เป็นภพซ้อนภพกันอยู่ของสถานที่ ซึ่งอำนวยต่อการทำสมาธิอย่างยิ่ง จิตจะสงบเร็วเมื่อน้อมใจเข้าสู่สภาวะของภพภูมินั้น
ผมอาจเขียนรวบรัดจนผู้อ่านอ่านแล้วไม่ชัดเจนว่า เหมือนพูดถึงสภาวะภายใน แต่มีทั้งสภาวะภายในและสภาวะภายนอก เขียนต่อเนื่องรวบรัดจนรวมกันไปโดยปริยาย กลับมาอ่านจึงได้รู้
แต่สรุปแล้วหากเป็นการสอบ ก็เรียกได้ว่าเกือบตก เพราะเผลอหลับขณะทำข้อสอบ ๕๕๕..เพราะไม่ได้นำปรากฏการณ์นั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตเท่าใดนัก.

ขออนุโมทนาครับท่านภูเบศร์ ที่เข้ามาเสริม "ภูมิพรหม" ที่อยู่ภายนอกตัวเรา คือมิติหรือสถานที่ของพรหมอาศัยอยู่ จะช่วยส่งเสริมภูมิภายในของเราให้เข้าสู่สมาธิได้ดีเช่นเดียวกันวิสสัยของพรหม ส่วน "ภูมิภายในของเรา" คือ สภาวะของจิตที่อยู่ในสมาธิขั้นของฌานต่างๆ ที่ทำให้ไปเกิดเป็นพรหม ประมาณนี้ครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
5 มกราคม 2555

IT Man: โมทนาสาธุในธรรมครับ

เป็นบททดสอบที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่ให้ตั้งตัวเลย หึหึ 
รู้สึกเกรงกลัวเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีก็ว่าได้ แต่พอรู้ความจริงว่า ณ จุดกางเต๊น (แรกพบเห็น ผมก็อยากกางตรงจุดๆนั้นเลย) เป็นดินแดนอีกมิติ (บังบด,ภพภูมิ) และเชื่อว่าเขาเป็นมิตรที่ปรารถนาดีกับผู้ใฝ่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (สังเกตุได้จากประสบการณ์จริง)

ผมยังรู้สึกเสียดายที่ต้องกลับมาทำหน้าที่ทางโลก ที่สำคัญคือร่างกายที่กรอบเพราะไม่ค่อยได้พักผ่อนเหมือนปกติวิสัย(หลบธรรม)มาตลอดสิบวัน เริ่มจะเข้าที่แล้วด้วยซี หึหึ 

ค่อยว่ากันใหม่ในต้นเดือนกุมภา 55 ครับ


สภาวะธรรมวันตามรอยบิณฑบาตพ่อแม่ครูอาจารย์
(วันที่หนึ่ง)


เช้าวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ผมโชคดีได้มีโอกาสลงจากเขาภูดานไห เพื่อเดินตามพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ออกบิณฑบาต ที่หมู่บ้านกุดหว้า ซึ่งอยู่ห่างจากวัดภูดานไหประมาณ 6-8 กิโลเมตร(ผมกะเอา) เมื่อก่อนพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้เดินลงมาบิณฑบาตตั้งแต่ตีห้าหรือเกือบหกโมงเช้า เดินไปกลับสิบกว่ากิโลทุกวัน แม้ฝนจะตกท่านก็ไม่เคยถือร่ม ผ้าจีวรจะเปียกหนักอึ้งท่านก็ไม่เคยเว้น ท่านเดินภาวนาลงเขามาเพื่อยังกิจของสงฆ์ และเพื่อโปรดญาติโยมด้วยความเมตตาและวิริยอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง แต่ในช่วงหลังมานี้ ท่านโชคดีที่มีครูร่วมชาติมาคอยปรนนิบัติรับส่งท่านมาบิณฑบาตแทบทุกวัน จึงย่นเวลาในการเดินทางของท่านได้มากทีเดียว ขอผลานิสงส์นี้จงบังเกิดแก่ครูชาติและครอบครัว ให้บรรลุมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ

วันนี้จึงเป็นวันแรกที่ผมจะได้ร่วมเดินตามรอยพ่อแม่ครูอาจารย์ จิตมีความปีติจนบอกไม่ถูก เมื่อถึงที่หมายลงจากรถแล้ว เท้าถึงพื้นดิน(ถอดรองเท้าเดิน) รู้สึกเย็นเจี๊ยบ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเริ่มครองบาตรออกเดินนำหน้า ท่านสมบัติ ผม คุณประจักร์ เดินตามหลังตามลำดับ คุณแม่ชมและครูร่วมชาติคอยขับรถตามและช่วยถ่ายรูป และคอยรับข้าวอาหารจากบาตรเป็นช่วงๆ ผมเองเคยมีความรู้มาบ้าง เพราะเคยบวชมาแล้วเจ็ดวัน พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพาเดินตามพื้นดิน พื้นหินกรวดหินคลุกสีดำก้อนใหญ่จึงเจ็บเท้ามาก (คงเป็นบททดสอบและเป็นวัตรปฏิบัติของท่านอยู่แล้ว) ไม่จำเป็นท่านจะไม่พาเดินบนพื้นถนนราดยาง พวกเราพยายามเดินด้วยอาการสำรวม โดยทิ้งระยะห่างจากพ่อแม่ครูอาจารย์ให้ได้ระยะพอดี ตามองไปข้างหน้า ก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่สอดส่องสายตาไปมองสิ่งรอบข้าง หากมองให้น้อยที่สุด ผมเริ่มใช้โอกาสในการเดินครั้งนี้ ภาวนาไปด้วย เมื่อเท้าขวาก้าวออกไปก็ภาวนาว่า "พุทธ" เมื่อก้าวเท้าซ้ายออกไปก็ภาวนาว่า "โธ" เมื่อเท้าสัมผัสดินก็รู้ว่าเป็นดิน เมื่อเท้าสัมผัสก้อนหินก้อนกรวดก็รู้ว่าสัมผัสก้อนหินก้อนกรวด เมื่อเกิดอาการเจ็บแปล็บก็รู้ เมื่อลมเย็นมาปะทะก็รู้ เมื่อมีเสียงคน เสียงรถวิ่งผ่านก็รู้ เดินช้า เดินเร็ว และหยุดเดินเวลาพ่อแม่ครูอาจารย์รับบาตรก็รู้ หายใจช้าเร็วหนักเบาก็รู้ เหนื่อยก็รู้ เรียกง่ายๆว่า คือการภาวนาให้มีสติตั้งมั่นเช่นเดียวกันกับการเดินจงกรมนั่นเอง ซึ่งนับเป็นการเดินบิณฑบาตไปกลับในหมู่บ้านนับหลายกิโลเมตรทีเดียว ช่วงแรกก็รู้สึกว่ามีอาการเหนื่อยและเจ็บปวดร่างกายและฝ่าเท้า แต่พอเดินวนมาถึงจุดเดิมกลับมีอาการตัวเบาสบายจนไม่อยากให้การบิณฑบาตนั้นสิ้นสุดลง อยากจะเดินต่อให้ถึงวัดเลยก็ได้ กลายเป็นว่าติดอารมณ์ของการเดินบิณฑบาตเสียแล้ว ผมจึงไม่แปลกใจที่พระธุดงค์ท่านเดินบิณฑบาตไม่รู้สึกจักเหน็ดจักเหนื่อย อ๋อมันก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เพราะการเดินภาวนาแท้ๆ

ท่านทั้งหลาย นอกจากผมจะเดินภาวนาตามรอยพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว สิ่งที่รับรู้ด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่งก็คือ เราเป็นผู้มีบุญแล้วหนอ เรามีวาสนาแล้วหนอ ที่เกิดมาได้เดินตามรอยบาทของพ่อแม่ครูอาจารย์เยี่ยงนี้ คุณธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์เปล่งประกายออกมาตลอดเส้นทาง ญาติโยมที่ออกมาใส่บาตรล้วนแต่ยิ้มแย้ม ใครมีอาการเช่นไรผมก็รู้ สภาพและร่องรอยของการเฉลิมฉลองปีใหม่ของชาวบ้านผมก็รู้ ใครมีจิตใจเป็นบุญกุศล ใครไม่สนใจพระสงฆ์องคเจ้าผมก็รู้ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านปฏิบัติเช่นไรผมก็รู้ คุณสมบัติ คุณประจักร์ คุณแม่ชม ครูร่วมชาติ ทำเช่นไรผมก็รู้

ท่านทั้งหลาย การเรียนรู้สภาวะธรรมจากการเดินตามรอยบาทของพ่อแม่ครูอาจารย์ในครั้งนี้ ทำให้ทุกคนเกิดความปีติสุขเป็นล้นพ้น ดั่งที่ท่านศรุตได้ประจักษ์แก่ตัวเองในวันต่อมา (1 มกราคม 2555) จนกระทั่งได้หลั่งน้ำตาออกมาขณะที่พ่อแม่ครูอาจารย์รับบาตรแรก "ทำนบแห่งความปีติมันกลั้นไม่อยู่" ซึ่งก็คงเป็นเช่นนั้นกันทุกคน (ในวันที่ 1 มกราคม 2555 มีผู้ติดตามอีกหลายท่าน) ผมเห็นบุญกุศลเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมจึงไม่ปล่อยโอกาสทองที่นอกจากจะเดินภาวนาแล้ว เมื่อใดที่มีผู้ใส่บาตรพ่อแม่ครูอาจารย์ ผมก็ร่วมอนุโมทนาสาธุการกับทุกท่าน "ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญได้พบแต่พระพุทธศาสนาจนกว่าจะเข้าพระนิพพานกันทุกคนเด้อ" ซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นกัน ท่านทั้งหลาย บุญนี้มันช่างมีความสุขมากมายเหลือเกิน ผมอยากให้ทุกท่านได้อยู่ในเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับผม "ทำนบแห่งความปีติในบุญนั้นมันคงกลั้นไม่อยู่เช่นกัน" ท่านทั้งหลาย ขณะนั้นแม้กายผมจะนุ่งห่มด้วยผ้าขาว แต่สภาวะจิตของผมในตอนนั้นกลับห่มผ้าเหลืองไปในพริบตา ผมไม่สงสัยใดๆในเนื้อนาบุญอีกแล้ว มันเกินคำบรรยายใดๆที่ผมจะเอื้อนเอ่ยออกมาได้มากกว่านี้ ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความปีติสุขไปด้วยกันนะครับ

ขอเจริญในธรรม

ดร.นนต์

5 มกราคม 2555




สภาวะธรรมวันตามรอยบิณฑบาตพ่อแม่ครูอาจารย์ 
(วันที่สองต่อ)
วันที่สองของการร่วมเดินตามรอยบิณฑบาตพ่อแม่ครูอาจารย์ ในเช้าวันที่ 1 มกราคม 2555 วันนี้มีเหล่านักรบธรรมที่ได้มาสมทบกันอีกหลายคน มีคุณสมบัติ ผม คุณศรุต คุณภูเบศร์ คุณพิเชฐ คุณประจักร์ คุณจ็อกกี้ คุณเก๋ คุณโกศล คุณอู๊ด ครูร่วมชาติ และคุณแม่ชม เป็นคาราวานแถวยาวเดินตามกันอย่างมีระเบียบ


วันนี้เป็นวันที่สองของผมจึงมีความคุ้นเคยแล้ว เมื่อเท้าแตะพื้นและเริ่มออกเดิน ผมเริ่มต้นภาวนาพุทโธทันที พิจารณาลมหายใจเข้าออก สลับกับการพิจารณาสภาวะที่เกิดขึ้นรอบข้างในขณะนั้น ดั่งที่เคยปฏิบัติมาแล้วเมื่อวาน วันนี้ผมเริ่มพิจารณาธาตุทั้งสี่ขณะเท้าเดินสัมผัสกับพื้นดิน หิน กรวด ทราย ก็โน้มพิจารณาธาตุดิน ทั้งภายในตัวของเราและพื้นโลก เมื่อคราใดรู้สึกร้อนเย็นก็พิจารณาธาตุไฟที่อยู่ภายในและนอกตัวเรา เมื่อคราใดมีลมมาปะทะก็พิจารณาธาตุลมที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกตัวเรา เมื่อคราใดเดินผ่านที่ๆมีน้ำพื้นแฉะจากการฉีดน้ำก็โน้มพิจารณาธาตุน้ำที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกตัวเรา บางครั้งพิจารณากายสังขารของตัวเองกำลังเสื่อมสลายไปกับธาตุทั้งสี่กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลกธาตุ เมื่อพิจารณาไปเรื่อยๆจนจะถึงปลายทางแห่งการบิณฑบาตในวันนี้ จิตผมกลับรวมสงบตัวเบามากขึ้น เสมือนกายจะเลือนหายไปกับอากาศอย่างนั้น ไม่อยากให้การเดินครั้งนี้สิ้นสุดลง เพราะยังติดอยู่ในอารมณ์ของการวิปัสสนาอยู่ ท่านทั้งหลาย นี้คือประสบการณ์ส่วนตัวในการไปแสวงธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ของผมและเหล่านักรบธรรมในครั้งนี้ จะถูกจะผิดจะพัฒนาหรือไม่ก็ตาม ผมก็ได้แสดงออกมาตามสติปัญญาที่ผมมีอยู่ในขณะนี้ จึงพอควรและพอเกิดประโยชน์ต่อนักภาวนามือใหม่อยู่บ้าง (ผมก็มือใหม่) ซึ่งอาจเป็นการสร้างกำลังใจซึ่งกันและกันนะครับ


ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
5 มกราคม 2555
นรธ.เก๋
สวัสดีครับพี่ๆทุกๆท่าน

นึกถึงคืนวันส่งท้ายปีเก่า หลังจากที่พ่อแม่ครูอาจารย์กล่าวว่าหากผ้าคลุมใหล่คลุมไปแล้วรู้สึกไม่สบายนั่งไม่สะดวกก็ให้เอาออก ผมก็เอาออกเลย นับจากตอนนั้นก็เพียงรู้สึกเย็นๆหรืออาจจะหนาวก็ไม่แน่ใจแต่ไม่ได้ผ่านเข้ามาถึงใจ ใจยังเป็นปกติอยู่ รูสึกได้ว่ามีลมแรงกระโชกผ่านเข้ามาทางด้านหน้าแล้วก็ทะลุออกไปทางด้านหลังรับรู้ได้ว่าลมภายนอกเย็นสบายดี ลมภายในก็เย็นสบายดีผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป ร่างกายมีอาการโยกไปตามแรงลมระยะหลังๆมีการอาการสั่นเล็กน้อย ก็แปลกดีครับ แต่อาการปวดจากการกดทับนี่ต้องขยับขาช่วยอาจมีผลมาจากการไปร่วมธรรมสัญจรครั้งที่1ที่เกาะช้างก็เป็นได้ครับ

ตอนนั้นนั่งอยู่ในรถครูชาติ ครูชาติได้เปิดธรรมะของหลวงพ่อทูลให้ฟังเรื่องการผ่านทุกข์ ในวันที่มีการนั่งสมาธิในทะเลนั้นเมื่อกลับไปที่พักที่เกาะช้างผมก็เลยทดลองดูอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างที่หลวงพ่อทูลท่านแสดงธรรมมาหรือเปล่า ก็ลองนั่งดูสักประมาณชั่วโมงนึง(นั่งกับคณะธรรมะสัญจรนั่นแหละครับ)อาการปวดก็แสดงออกมาแล้วก็กลายเป็นอาการร้อน ร้อนมากเหมือนไฟเผาแทบจะขาดให้ได้ อาการปวดร้อนไม่ได้แสดงอยูที่ขาแล้วกลับรู้สึกได้ว่า ก้อนปวดร้อนนั้นลอยขึ้นมาอยู่ห่างจากใบหน้าประมาณ 1 ฟุตเอง เราก็นั่งหลับตาฟังธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์แสดงธรรมไปด้วยในใจก็คิดว่าโอโหพี่ๆแต่ละท่านสุดยอดจริงๆนั่งกันทนขนาดนี้น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมงได้แล้วมั้ง พิจารณาก้อนไฟนั้นไปอยู่อีกพักนึง ได้ยินเสียงแม่ชมท่านเรียนถามธรรมะกับพ่อแม่ครูอาจารย์ พอผมได้ยิน อ้าว.. พี่ๆเขาเปลื่ยนอริยาบทกันตั้นนานแล้วนี่ นั่น..ความคิดท้อถอยแสดงออกมาทันทีเลย ตอนแรกว่าจะลองตั้งใจผ่านทุกข์เข้าไปให้ถึงสภาวะอาการหนาวสุดๆ ซะหน่อย ความคิดล้มเลิกความตั้งใจแสดงออกมาทันที ก็เลยลืมตาแล้วเปลี่ยนอริยาบทก้อนปวดร้อนนั้นก็หายไป ยังนึงเสียดายอยู่ แต่ก็มีเรื่องแปลกคือที่เกาะช้างตอนนั้นอากาศไม่ได้หนาวเลยแต่ร่างกายผมกลับสะบั้นขึ้นสั่นไปสั่นมา 2 ครั้งแล้วก็หยุดนิ่ง รู้สึกแปลกดี ฮะฮะ เอาเรื่องเก่ามาเล่าสู่กันฟัง

หลังจากที่ได้กลับมาจากการปฏิบัติธรรมข้ามปีมาแล้วครั้งนี้ทำให้คิดได้ว่า

ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหนก็ไม่กลัวแล้ว คิดว่าไม่มีอะไรจะหนาวไปกว่าการปฏิบัติธรรมอีกแล้ว


การพิจารณาธรรมจากการรับประทานอาหารในภาชนะเดียวกัน

การฉันอาหารมื้อเดียว และฉันอาหารรวมภายในบาตร นับเป็นวัตรปฏิบัติของพระกรรมฐานสายวัดป่า วันข้ามปีนี้ (31 ธันวาคม 2554- 1 มกราคม 2555) พวกเราเหล่านักรบธรรมได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ให้ฝึกรับประทานอาหารรวมในภาชนะเดียวกันแบบบุ๊ฟเฟ่ แต่ความต่างในการรับประทานอาหารแบบนี้ก็คือ ไม่ใช่ธรรมเนียมแบบฝรั่งหรือแบบผู้คนทั่วไป แต่เป็นการพิจารณาอาหารแบบวิปัสสนาตามอย่างพระกรรมฐาน

ท่านทั้งหลาย ผมไม่แน่ใจว่า แต่ละท่านจะได้พิจารณาชามอาหารเช่นเดียวกันกับผมหรือไม่ แต่ตัวผมแล้วเมื่อเดินไปหยิบชามและช้อนเพื่อตักอาหาร ก็เริ่มพิจารณาทุกสิ่งที่วางอยู่เบื้องหน้า สายตาสำรวจว่ามีสิ่งใดที่เราจะรับประทานแล้วค่อยๆตักทีละน้อยทีละอย่างและวางให้เป็นระเบียบพอประมาณในชามใบนั้น บางครั้งเมื่อมองเห็นปลาก็พิจารณาสังขารของปลา เห็นขาไก่ก็พิจารณาสังขารของไก่ มองเห็นอะไรก็พิจารณาสิ่งนั้น พอได้อาหารตามที่ต้องการและได้หาที่นั่งอันเหมาะสมแล้ว ก็เริ่มพิจารณาทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนลงมือรับประทานอาหารก็ให้ระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ประทานอาหารมื้อนี้มาให้ รวมทั้งผู้ที่นำอาหารมาถวายด้วย ต่อมาก็แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ที่เรากำลังจะกินเขาเข้าไป เพื่อให้พวกเขาพ้นจากสภาพความเป็นสัตว์เดรฉานไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปโดยไว กล่าวแบบง่ายๆก็คือ เป็นการกินเพื่อการสงเคราะห์สัตว์ มิใช่กินเพื่อความเอร็ดอร่อยอย่างปุถุชนเขากินกันนั่นเอง

เมื่อเราตักอาหารเข้าปากเราก็มีสติรู้อยู่ว่ากำลังตักอาหาร กิริยาในการเคี้ยวอาหารเราก็รู้อยู่ ตักและเคี้ยวอย่างไรให้มีกิริยางาม อาการสำรวมโดยไม่พูดคุยหรือสอดส่องสายตาไปที่อื่น จะทำให้เรามีเวลาพิจารณาอาหารและอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้ ตามองที่ชามอาหารก็เห็นสภาพของอาหารใหม่ เมื่อกลืนอาหารลงท้องก็พิจารณาสภาพของอาหารที่เคี้ยวแล้วว่าเป็นอย่างไร เมื่ออาหารตกลงไปถึงกระเพาะอาหารแล้วมีสภาพเช่นไร กระบวนการย่อยอาหารนั้นเป็นอย่างไร กระบวนการลำเลียงอาหารไปตามส่วนต่างๆของร่างกายนั้นเป็นอย่างไร กากอาหารลำเลียงไปสู่ลำไส้อย่างไร อาหารเก่าไปนอนนิ่งอยู่ในลำไส้ใหญ่มีสภาพเช่นไร และท้ายสุดเมื่อขับถ่ายออกมามีสภาพเช่นไร กลายไปเป็นธาตุสี่เวียนวนอยู่เช่นนั้น แม้เราจะไม่สามารถมองเห็นภาพจริงๆของกระบวนการเกิดขึ้นทั้งหมดอย่างที่ว่า สักวันหนึ่งมันคงจะเกิดปัญญาญาณไปหยั่งรู้สภาวะจริงๆในร่างกายของเราได้สักวัน สักวัน... ดั่งพระอริยเจ้าที่กำหนดจิตเข้าไปเดินอยู่ในเส้นเลือดของตัวเองได้ จนเห็นสภาวะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยปัญญาญาณที่แท้จริงได้ จนนำไปสู่การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุดนั่นเอง...ข้าพเจ้าก็หวังเช่นนั้น

ท่านทั้งหลาย นี้คืออุบายธรรมของพระกรรมฐานและนักภาวนา ที่ผมเห็นควรว่าน่าจะนำไปประพฤติปฏิบัติ นักภาวนาจะต้องมีความคิดเห็นต่างจากปุถุชนทั่วไป แม้แต่เรื่องการกินนี้ก็เช่นกัน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนความเห็นชอบนั่นเอง

ปล. ข้อความบางส่วน(น้อย)ผมเพิ่มเติมความเห็นเข้าไปในภายหลัง (ไม่ได้คิดหรือพิจารณาในช่วงนั้น) เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์และต่อเนื่อง แต่กระทำไปด้วยความบริสุทธิ์แห่งจิตใจนะครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
6 มกราคม 2555